แนวคิดพื้นฐานด้านการจัดการ
การจัดการ หมายถึง เป็นการดำเนินการหรือกระบวนการใดๆ ของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ร่วมกัน โดยคำนึงถึงการจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และมีองค์ประกอบคือ
1. เป้าหมายที่ชัดเจน
2. ทรัพยากรในการบริหารที่มีจำกัด
3. การประสานงานระหว่างกัน
4. การแบ่งงานกันทำ
สรุปความหมายของการจัดการ
การใช้คน ทรัพยากรและเทคนิคต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติงานในแต่ละฝ่ายงานย่อยสำเร็จลุล่วงไปตามวัตถุประสงค์ หรือตามแผนงานที่วางไว้
ทรัพยากรในการจัดการ
- Man = ทรัพยากรบุคคล
- Money = งบประมาณ
- Materials/Media = วัสดุ/สื่อการเรียนรู้
- Methods = วิธีการ/กิจกรรม
- Market = การตลาด / การประชาสัมพันธ์
- Machine = เครื่องจักร / อุปกรณ์ในการจัดการ
- Moral (ขวัญ กำลังใจ)
ความแตกต่างระหว่างการบริหารกับการจัดการ
การบริหาร
- เป็นกระบวนการดำเนินการระดับการกำหนดนโยบายที่ครอบคลุมการทำงานในภาพรวมของศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้
- กระบวนการบริหารใดๆขององค์กร
- ผู้บริหารพยายามบริหารงานให้เป็นไปตามเป้าหมายของศูนย์ทรัพยากรการเรียนร
- ผลสำเร็จของศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้มิได้คำนึงถึงผู้บริหารเป็นหลัก แต่ดูจากภาพรวมของความสำเร็จของหน่วยงานเป็นหลัก
- การบริหารมักจะใช้กับองค์การเศรษฐกิจหรือหน่วยงานสาธารณะที่ไม่หวังผลกำไร
การจั่ดการ
- เป็นกระบวนการดำเนินงานใดๆของศูนย์ฯ ที่ต้องการให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการเรียนรู้โดยฝ่ายงานย่อยของศูนย์รับผิดชอบ
- เป็นบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของฝ่ายงานโดยคานึงถึงผู้รับบริการเป็นหลักโดยคานึงถึงแนวนโยบายของแต่ละแผนกเพื่อให้ศูนย์ฯ บรรลุตามเป้าหมาย
องค์การสมัยใหม่
องค์การสมัยใหม่ หมายถึง หน่วยงานที่มีการทำงานอย่างเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่น โดยไม่ยึดกับหลักการและทฤษฎีที่มีแบบแผน แต่มีความยืดหยุ่น โดยคานึงถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมสภาพสังคม เศรษฐกิจ และเป้าหมายขององค์การเป็นหลัก
หลักการจัดการองค์การสมัยใหม่
หน่วยงานที่มีการทำงานอย่างเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่น
ตัวอย่างที่ 1
5 S Model
1. Small = เป็นองค์การขนาดเล็ก แต่เป็นองค์กรที่มีคุณภาพ
2. Smart =ดูดี ดูเท่ห์ ดูน่าเชื่อถือ ใช้คาว่า ฉลาดเพียบพร้อมด้วยภูมิปัญญา การจะทำให้เท่ห์ต้องมีISO มีการประกันคุณภาพในระบบของ QA และกิจกรรมอื่นๆ
3. Smile = ยิ้มแย้มแจ่มใส เปี่ยมด้วยน้ำใจ ฉะนั้นคนในองค์การจะต้องทำงานอย่างมีความสุข ความสุขมีอยู่ 2 ฝ่าย
1 ) คนทำงานมีความสุข
2 ) ลูกค้าผู้รับการบริการ โดยเริ่มที่พนักงานก่อนแล้วออกแบบองค์การให้เป็นองค์การที่มีความสุข สนุกในงานที่ทำมีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใส ทางานด้วยใจรัก รักงานอยากจะมาทำงาน
1 ) คนทำงานมีความสุข
2 ) ลูกค้าผู้รับการบริการ โดยเริ่มที่พนักงานก่อนแล้วออกแบบองค์การให้เป็นองค์การที่มีความสุข สนุกในงานที่ทำมีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใส ทางานด้วยใจรัก รักงานอยากจะมาทำงาน
4. Smooth = ไม่พูดเรื่องการขัดแย้ง จะพูดเรื่องการผนึกกำลังการทำงานเป็นทีมเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
5. Simplify = ทำเรื่องสลับซับซ้อนให้เป็นเรื่องง่าย หรือทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำเรื่องที่ไม่สะดวกให้สะอาด ทำเรื่องที่ช้าให้เร็วขึ้น
ตัวอย่างที่ 2
องค์การแบบสิ่งมีชีวิต
องค์การที่ให้ความสำคัญกับการปรับตัว (Adaption) มุ่งเน้นการทำงานอย่างมีความสุข และให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์เป็นแกนหลักในการทำงาน
การพัฒนาองค์การแบบสิ่งมีชีวิตมีลักษณะที่สำคัญอันได้แก่
1. โครงสร้างแบบยืดหยุ่น (Flexible Structure)
2. มีการกระจายอำนาจ (Decentralization)
3. การทำงานเป็นทีม (Team work)
4. เน้นผลงานมากกว่ากฎระบียบ (Performance-oriented)
5. การติดต่อสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ (Informal Communication)
ข้อดีของแนวคิดองค์การแบบสิ่งมีชีวิต
1)เป็นแนวคิดที่ทาให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างองค์การและสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้นโดยเสนอว่าองค์การจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ด้วย จึงสามารถอยู่รอดได้
2) ทำให้มีการใส่ใจในเรื่องราวความต้องการขององค์การมากขึ้น โดยใช้แรงจูงใจหรือการตอบสนองต่อความพึงพอใจของสมาชิกในองค์การ องค์การจะประสบความสำเร็จได้ จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างความพึงพอใจของสมาชิกและประสิทธิผลของการทำงานเข้าด้วยกัน ดังนั้นแนวคิดนี้จึงให้ความสาฃำคัญกับ “คน” มากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นจากการกระจายอำนาจมากขึ้นและไม่ใช้โครงสร้างหรือกฎระเบียบมาควบคุมคนในองค์การ
3) สนับสนุนความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ตลอดจนผลงานเป็นสำคัญมากกว่าการเคร่งครัดต่อระเบียบอย่างตายตัวแบบองค์การแบบเครื่องจักร
ตัวอย่างที่ 3
องค์การคุณภาาพ
เป็นองค์การที่มี 4 มิติ คือ มาตรฐาน , ผลงาน , ประสิทธภาพ และความพึงพอใจ
1.) มาตรฐาน (Standard) ได้แก่ ข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ที่ตัดสินความมีคุณภาพของสินค้าหรือบริการนั้น
2.) ผลงาน (Performance) ครอบคลุมความสามารถในการใช้งาน ว่าผลิตภัณฑ์หรือการบริการนั้นตอบสนองจุดประสงค์ในการใช้งานหรือไม่ ความสามารถในการเข้าถึง(Accessibility)หรือความสะดวก ความปลอดภัย ความรับผิดชอบ การให้บริการ ความคงทน ความแม่นยา และความเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย
3.) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ได้แก่ การพิจารณาปัจจัยนำเข้าเปรียบเทียบกับผลผลิตหรือสินค้าหรือบริการที่องค์การผลิตขึ้นมา การควบคุมต้นทุน และเวลาในการส่งมอบ ดังนั้นมิตินี้จะครอบคลุมเรื่องความเหมาะสมกับต้นทุนไว้ด้วย
4.) ความพึงพอใจ (Satisfaction) เป็นมิติแห่งคุณภาพที่เกี่ยวกับความสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้า รูปลักษณ์ของสินค้า ภาพลักษณ์ขององค์การ เพื่อสร้างความพึงพอใจของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย โดยอาจเป็นคุณภาพที่ลูกค้าคาดหวังหรือต้องการ หรืออาจเป็นคุณภาพที่เหนือความคาดหวังของลูกค้า ซึ่งทำให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างและก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
1.) มาตรฐาน (Standard) ได้แก่ ข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ที่ตัดสินความมีคุณภาพของสินค้าหรือบริการนั้น
2.) ผลงาน (Performance) ครอบคลุมความสามารถในการใช้งาน ว่าผลิตภัณฑ์หรือการบริการนั้นตอบสนองจุดประสงค์ในการใช้งานหรือไม่ ความสามารถในการเข้าถึง(Accessibility)หรือความสะดวก ความปลอดภัย ความรับผิดชอบ การให้บริการ ความคงทน ความแม่นยา และความเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย
3.) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ได้แก่ การพิจารณาปัจจัยนำเข้าเปรียบเทียบกับผลผลิตหรือสินค้าหรือบริการที่องค์การผลิตขึ้นมา การควบคุมต้นทุน และเวลาในการส่งมอบ ดังนั้นมิตินี้จะครอบคลุมเรื่องความเหมาะสมกับต้นทุนไว้ด้วย
4.) ความพึงพอใจ (Satisfaction) เป็นมิติแห่งคุณภาพที่เกี่ยวกับความสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้า รูปลักษณ์ของสินค้า ภาพลักษณ์ขององค์การ เพื่อสร้างความพึงพอใจของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย โดยอาจเป็นคุณภาพที่ลูกค้าคาดหวังหรือต้องการ หรืออาจเป็นคุณภาพที่เหนือความคาดหวังของลูกค้า ซึ่งทำให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างและก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน